วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ญี่ปุ่นเจ๋ง คิดค้นบ้านสำหรับหลบภัยสึนามิ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก inhabitat.com

          จากหายนะคลื่นสึนามิที่ถล่มเกาะญี่ปุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งล่าสุด คลื่นยักษ์นี้ได้ถล่มที่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เกาะฮอนชู เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นต้องเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างประมาณค่ามิได้ อย่างไรก็ตามการสูญเสียที่เกิดขึ้นนับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นคิดหาวิธีในการรับมือจากเหตุสึนามิที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
          โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม สำนักข่าวท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า สถาบันสถาปนิกเอ็นโด ชูเฮอิ ได้คิดค้นที่พักอาศัย 2 ชั้น รูปทรงกระบอกที่ชื่อว่า กรีน รูฟ (Green Roofed) ซึ่งเป็นที่พักที่ออกแบบมาเพื่อต้านทานกับแรงกระทบของคลื่นสึนามิ โดยมีการยกพื้นขึ้นสูงเพื่อกระจายแรงกระทบของคลื่นให้ไหลไปสู่เบื้องล่าง



          โดยที่พักจำลองที่สร้างขึ้นมานี้แบ่งออกเป็นห้องควบคุม ห้องจัดแสดงผลงาน และห้องสำหรับเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติสึนามิสำหรับผู้ที่มาเข้าชม ทั้งนี้ เมื่อมองดูภายนอก ที่พักอาศัยนี้มีลักษณะคล้ายริ้วริบบิ้น เพื่อให้กระแสน้ำไหลผ่านไปได้ง่าย ไม่มีแรงกระทบมากนัก โดยภายนอกจะมีหน้าต่างที่ทำมาจากกระจกชนิดพิเศษ แข็งแรงทนทาน สามารถต้านแรงดันจากน้ำ และแสงภายนอกสามารถลอดผ่านเข้ามาได้ โดยผู้พักอาศัยก็ยังสามารถมองเห็นภายนอกได้ด้วย

          แหม...เห็นแล้วต้องยกนิ้วให้ชาวญี่ปุ่น ยอมรับว่าเขาเจ๋งจริง ๆ เลย


 คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ

อนาคตรุ่ง นักเรียนไทยติดอันดับท็อปเท็นพฤติกรรมดี

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 


        องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ โอซีอีดี (OCED - The Organisation for Economic Co-operation and Development) ได้รายงานว่า พฤติกรรมนักเรียนทั่วโลกดีขึ้นกว่าเก่า โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย ซึ่งติดอันดับทั้งหมดถึง 7 อันดับจาก 10 อันดับแรก โดยมีประเทศไทยติดโผท็อปเท็นในการจัดอันดับครั้งนี้ด้วย
 
        โดยผลการสำรวจครั้งนี้นำผลที่ได้จากการสำรวจเมื่อปี 2552 มาเปรียบเทียบกับผลการสำรวจเก่าของปี 2543 ปรากฎว่า แนวโน้มความประพฤติของนักเรียนในชั้นเรียนทั่วโลกดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากเคยมีความกังวล และคาดการกันว่าพฤติกรรมของเด็กนักเรียนในห้องเรียนน่าจะแย่ลงเรื่อย ๆ
 
ทั้งนี้ 10 อันดับแรกของประเทศที่นักเรียนมีพฤติกรรมดี ได้แก่ 
 
         1. ญี่ปุ่น
         2. คาซัคสถาน
         3. จีน (เซี่ยงไฮ้)
         4. จีน (ฮ่องกง)
         5. โรมาเนีย
         6. เกาหลีใต้
         7. อาเซอร์ไบจัน
         8. ไทย
         9. อัลบาเนีย
         10. รัสเซีย
 
         จากการจัดอันดับนี้ ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ตามคาด และที่น่าสังเกตคือ จีน ซึ่งติดโผถึงสองอันดับ ทั้งเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง แสดงให้เห็นว่าประเทศจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำด้านการศึกษา โดยผลการสำรวจล่าสุดของโครงการประเมินผลการจัดการศึกษา หรือปิซ่า (PISA - Programme for International Student Assessment) ที่เพิ่งสำรวจไปเมื่อเดินธันวาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่า จีนจัดเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ส่วนเด็กไทยไม่น้อยหน้า ติดอันดับแปดด้วยเช่นกัน ซึ่งในการจัดอันดับสิบอันดับแรกนี้ ปรากฏว่าเป็นประเทศในแถบเอเชียไปถึง 7 อันดับ และอีก 3 อันดับที่เหลือมาจากทางยุโรปตะวันออก
 
         ส่วนเด็กนักเรียนในเมืองผู้ดีอย่างอังกฤษอยู่ในระดับกลาง ๆ ที่อันดับ 28 ซึ่งยังอยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย นำหน้าฝรั่งเศสและอิตาลี่ แต่ก็ยังตามหลังเยอรมันและอเมริกา
 
         อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย กลับถูกจัดอันดับไว้อยู่รั้งท้าย ทั้งที่ปกติแล้วประเทศแถบนี้เช่น ฟินแลนด์ จะขึ้นเป็นผู้นำในเรื่องด้านการศึกษาอยู่เสมอ แต่ในการจัดอันดับครั้งนี้กลับร่วงไปอยู่ที่อันดับสามจากท้ายสุดเท่านั้น

5 มหาวิทยาลัยของไทยติด 1 ใน 100 มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมเอเชีย


ไทยติด1ใน100 มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยม ในเอเชีย (ไอเอ็นเอ็น)
 
        5 มหาวิทยาลัยของไทยติด 1 ใน 100 มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมในเอเชีย

        รศ.พาสน์ ศิริ นิสาลักษณ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากการประกาศผลการจัดอันดับ QS Asian Universities Ranking 2011 

        ล่าสุดในปี 2011 นี้ การจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียมีมหาวิทยาลัยของประเทศ ไทยติดอันดับใน 100 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 34 มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 47 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 67 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 88 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอันดับที่ 95 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

        ทั้งนี้มหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับที่ 1 ของเอเชีย คือ The Hong Kong University of Science and Technology และได้ครองอันดับที่ 1 ของเอเชีย เป็นปีที่ 3 แล้ว สำหรับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชีย โดย Quacquarelli Symonds Ltd. (QS) ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานระดับโลก การที่มหาวิทยาลัยมหิดลยังคงอยู่ในอันดับที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยติดต่อกันอีกครั้ง และอยู่ในอันดับที่ 34 ของภูมิภาคเอเชีย เป็นการแสดงถึงผลงานด้านการวิจัยที่ได้รับการอ้างอิงอยู่ในวารสารระดับโลก ซึ่งแสดงถึงความมีคุณภาพของงานวิจัยจนได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย 

        นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังคงให้ความสำคัญกับงานวิชาการ การจัดการเรียนการสอนระดับนานาชาติ ความพึงพอใจของผู้ใช้งานบัณฑิต และจำนวนสัดส่วนอัตราอาจารย์ต่อนักศึกษา ซึ่งค่าน้ำหนักในการพิจารณาให้คะแนนจากเกณฑ์ดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถทำคะแนนได้เป็นอย่างดี




ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เลดี้ กาก้า ทำอึ้ง เคี้ยวกระดาษระหว่างสัมภาษณ์









เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  youtube.com โพสต์โดย CBS

         ขึ้นชื่อว่าเป็น เลดี้ กาก้า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องกลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เสมอ เพราะเธอมักจะทำอะไรที่แปลกผิดมนุษย์มนาอยู่บ่อย ๆ เรียกว่าถ้าไม่ใช่ เลดี้ กาก้า ทำไม่ได้นะจ๊ะ เลยทีเดียว

         ล่าสุด นักร้องสาวสุดมั่นวัย 25 ปีคนนี้ ได้สร้างความตกตะลึงพรึงเพริศไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อเธอโชว์แปลก เคี้ยวกระดาษระหว่างสัมภาษณ์ในห้องส่งอย่างหน้าตาเฉย เล่นเอาผู้คนถึงกับอึ้งไปตาม ๆ กัน

         เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่แม่สาว เลดี้ กาก้า ถูกเชิญไปสัมภาษณ์ในรายการเลทโชว์ ที่ดำเนินรายการโดย เดวิด เลตเตอร์แมน พิธีกรชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คุณเธอดูจะวางตัวเป็นกันเองอย่างมาก ถึงกับยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดเข่าอย่างสบายอารมณ์เลยทีเดียว และระหว่างที่เธอกำลังให้สัมภาษณ์นั้น จู่ ๆ เธอก็แย่งโพยสคริปท์ของ เดวิด เลตเตอร์แมน มาฉีก และถือกระดาษนั้นเอาไว้

         แต่แล้วไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็ทำให้ผู้ชมถึงกับอึ้ง เมื่อเธอได้ขยำกระดาษเป็นก้อน แล้วเอาเข้าปากเคี้ยวอย่างหน้าตาเฉย จน เดวิด เลตเตอร์แมน ต้องหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอได้คายมันออกมาทันที แต่แม่สาวเลดี้ กาก้า ก็ยังคงปฎิเสธและเคี้ยวมันต่อ แม้ว่า เดวิด เลตเตอร์แมน จะบอกว่ามันอันตรายและทำให้เธอป่วยได้ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังทำท่าแกล้งป่วยขณะที่กระดาษยังอยู่ในปากอีกด้วย

         อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะเธอจะเคี้ยวมันไว้ในปากอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คายมันออกที่หลังเก้าอี้จนได้ งานนี้ ทำเอาผู้ชมถึงกับหัวเราะไม่หยุดเลยทีเดียว เอ้า ว่ากันไม่ได้ เพราะเธอคือ เลดี้ กาก้า ที่ไม่เคยเหมือนใครอยู่แล้วนี่นา ก็ดูอย่างชื่ออัลบั้มใหม่ของเธอสิ มันบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เลดี้ กาก้า "Born This Way"



วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฅ คนรักรถ! หนุ่มผู้ดีจอดรถเฟอร์รารี่ไว้ในตัวบ้าน

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก swns.com
          ช่างรักรถซะเหลือเกินสำหรับหนุ่มชาวอังกฤษรายหนึ่งซึ่งชื่นชอบและรักในรถสปอร์ตสุดหรูแบรนด์ดังอย่าง "เฟอร์รารี่" ถึงขนาดที่ขับมาจอดไว้ภายในตัวบ้านเลยทีเดียว

          เดลิเมล์ สื่อดังเมืองผู้ดีรายงานเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมว่า หนุ่มคนดังกล่าวมีชื่อว่านาย จอน ไรเดอร์ อายุ 28 ปี เป็นเจ้าของรถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีเหลืองรุ่น 355 สไปเดอร์คันงาม โดยเจ้าตัวได้ทำการดัดแปลงพื้นที่ส่วนหนึ่งของห้องนั่งเล่นภายในบ้าน และทำประตูแบบพิเศษให้กลายเป็นโรงจอดรถเฟอร์รารี่โดยเฉพาะ 

          ทั้งนี้ รถเฟอร์รารี่คันนี้เป็นรถที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของจอนเอง นอกจากนั้นแล้วเขายังเก็บเงินมากถึง 83,000 ปอนด์ (ประมาณ 3,735,000 บาท) เพื่อใช้ดัดแปลงห้องให้กลายเป็นโรงจอดรถและทำประตูขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญไปกว่านั้น แนวความคิดสุดแปลกนี้ยังได้รับการยอมรับจากภรรยาของเขา ด้วยการตกแต่งห้องนั่งเล่นให้มีความพอดีและเข้ากับส่วนที่เป็นโรงรถเฟอร์รารี่อีกซะด้วย

          โดยนายจอน ได้กล่าวถึงความคิดสุดแปลกแหวกแนวนี้ว่า "ผมปลื้มกับเจ้ารถคันเก่งนี้เป็นอย่างมาก ถือเป็นผลงานศิลปะอิตาเลี่ยนชิ้นโปรดของผม และทันทีที่ทำการย้ายมาบ้านหลังใหม่นี้ ผมก็คิดถึงแนวคิดที่จะจอดเฟอร์รารี่นี้ทันที"

          ถือเป็นไอเดียการดูแลรักษารถคันโปรดที่สุดแนวจริง ๆ ที่สำคัญยังเป็นการรักษารถที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือนอีกด้วย



สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ รูปสัตว์ ศิลปะข้างกำแพง

รูปภาพ สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ รูปสัตว์ ศิลปะข้างกำแพง

14 วิธี ทอดสะพานให้หนุ่มที่คุณปิ๊ง

ความรัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เคยไหม...เจอชายหนุ่มคนเดิมทุกครั้งขณะกำลังรอรถไปเรียนหรือไปทำงาน เวลาเดิม ที่เดิมบนรถไฟฟ้า หรือนั่งตรงข้ามประสานตากันบ่อย ๆ ในรถไฟใต้ดิน และคุณแอบมองเขาทุกวัน แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขามองคุณอยู่หรือเปล่า หรือสาว ๆ ที่ได้แต่แอบปลื้มชายหนุ่มคนใดคนหนึ่งอยู่ แต่ไม่กล้าเผยความในใจ ประมาณว่าอยากรู้จักแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร มาดูวิธีพวกนี้สิ เผื่อว่าคุณจะเอาไปใช้ได้บ้าง

1. สบตาแล้วยิ้มให้

          เจอกันอีกครั้งลองมองสบตาเขานิ่ง ๆ สักอึดใจหนึ่ง แล้วยิ้มหวาน ๆ ให้อีกที ก่อนจะหลบไปทางอื่น ถ้าเป็นไปได้ออกอาการเขินอายสักนิดพองาม แล้วลองดูปฏิกิริยาของเขาสิ ถ้าเขายิ้มกลับนั่นอาจหมายความว่าเขาก็สนใจคุณอยู่เหมือนกันนะ

2. ขอยืมปากกาหน่อยได้ไหมคะ

          มุขแบบนี้ยังใช้ได้ผลนะเออ แสร้งทำเป็นจดโน้ต หรือบันทึกตารางงานของคุณก็ได้ หยิบสมุดของคุณขึ้นมา แล้วยิ้มสวย ๆ ให้เขาพลางเอ่ยขอยืมปากกาจากเขาสักแท่ง ถ้าเขาพอจะสนใจคุณอยู่บ้าง เขาจะยินดียื่นให้คุณทันทีเลยล่ะ  จดอะไรลงไปสักสองสามคำแล้วคืนปากกาเขาไป พร้อมกล่าวขอบคุณ แล้วตบท้ายด้วยคำหวาน ๆ อย่างเช่น คุณมีน้ำใจจังค่ะ เปิดโอกาสให้เขาได้โต้ตอบอะไรกลับมาบ้าง แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย... โอเค บางทีเขาอาจจะแค่หน้าตาดี แต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่

3. ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ

          มองดูให้แน่ใจว่าเขามีนาฬิกาอยู่บนข้อมือ แล้วลองถามเวลาดู ถ้าเขายินดีที่จะบอกเวลาคุณ นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะเริ่มบทสนทนาต่อไป แต่ถ้าไม่ ก็อย่าลืมขอบคุณเขา และอาจตบท้ายด้วยการเอ่ยชมนาฬิกาของเขาเสียหน่อย ว่าช่างสวยอะไรอย่างนี้ นั่นอาจเป็นการกระตุ้นให้เขาได้พูดคุยอะไรกับคุณบ้างนะ อ้อ แต่อย่าลืมล่ะว่า คุณเองก็ต้องไม่มีอุปกรณ์บอกเวลาอย่างนาฬิกา หรือโทรศัพท์มือถือให้เขาเห็นนะ

4. พูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

          แดดจะออก ฟ้าจะมืด หรือฝนจะตก การพูดคุยเรื่องลมฟ้าอากาศนี่แหละ ที่เป็นบทสนทนาเริ่มการสานสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาได้ ถ้าฝนตกแล้วเขาไม่มีร่ม ลองชวนเขามายืนใต้ร่มคันเดียวกันดูสิ หรือว่าถ้าอยากคุยเรื่องอากาศแต่แดดร้อนเหลือเกิน อย่าบ่นให้เขาได้ยินเชียวนะ คุณอาจบอกว่าแดดจ้า ฟ้าใส อากาศดี แบบนี้จะดูน่าฟังกว่า และถ้าเขาคิดอยากจะคุยกับคุณอยู่เหมือนกันละก็ เชื่อได้เลยเขาไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ ในการเริ่มต้นสานสัมพันธ์แน่นอน

5. เอ่ยชมสัตว์เลี้ยงของเขา

          หากบังเอิญชายหนุ่มผู้นั้นเป็นคนรักสัตว์ เมื่อไรที่เจอเขามากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ไม่ว่าจะเป็น น้องหมา น้องแมว ลองเปิดบทสนทนาด้วยการเอ่ยชมสัตว์เลี้ยงของเขา เช่น น่ารักจังเลย หรือขออุ้มได้ไหมคะ หลังจากนั้นอาจลองชวนคุยเรื่องสายพันธ์ อายุ การดูแล ฯลฯ ถ้าเขามีทีท่าอยากรู้จักคุณอยู่แล้วละก็ รับรองได้คุยกันต่ออีกยาวแน่

6. ชมเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับเก๋ ๆ ของเขา

          หากวันไหนเจอเขาแต่งตัวได้หล่อถูกใจคุณละก็ ลองเอ่ยชมไอเท็มชิ้นนั้นของเขาดูสิ เช่น รองเท้าสวยจัง หรือว่า นาฬิกาคุณเท่มากเลย ขั้นแรกเขาอาจยิ้มและกล่าวขอบคุณ คุณสามารถเปิดประเด็นต่อโดยถามคำถาม เช่น ซื้อจากไหน หรือว่ารุ่นอะไร ลองดูปฏิกิริยาของเขาว่าเขามีทีท่าอย่างไร บางทีเขาอาจจะชวนคุณคุยต่อไปเรื่อย ๆ ก็ได้นะ

7. พูดคุยเรื่องเพลง

          หากคุณและเขาพบกันที่ร้านกาแฟ หรือร้านอาหารบรรยากาศสบาย ๆ ที่เปิดเพลงคลอไปด้วย ลองชวนเขาคุยด้วยการเรื่องเพลงก็ไม่เลวนัก อาจถามถึงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ว่าเขารู้จักไหม หรือชอบฟังเพลงแนวอะไร ถ้าเป็นเพลงที่คุณรู้จักคุณอาจร้องคลอเบา ๆ แล้วบอกว่า เพลงนี้ช่างเพราะและคุณก็ชอบมันมากเลย หากเขาเป็นคอเพลงอยู่แล้วละก็ รับรองคุยกันได้อีกยาว

8. คุยเรื่องเพื่อนของเขา

          กรณีนี้หากเพื่อนของคุณบังเอิญเป็นเพื่อนของเขาด้วย ทีนี้ยิ่งชวนคุยได้ง่ายเข้าไปใหญ่ อาจชวนคุยโดยคำถามที่คุณรู้คำตอบอยู่ในใจแล้ว หรือถามคำถามทั่ว ๆ ไป เช่น รู้จักกันมานานหรือยัง เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนคนนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมาหรือเปล่า ฯลฯ อย่าลืมใส่ใจเวลาเขาตอบคำถามคุณด้วยนะ คุยโดยมีเพื่อนคุณเป็นตัวเชื่อมแบบนี้ น่าจะคุยกันได้ง่ายขึ้น แถมคุณยังแอบลองถามเพื่อนของคุณได้ด้วยนะว่า หนุ่มคนนี้พูดถึงคุณให้เขาฟังบ้างหรือเปล่า

9. สอบถามเส้นทาง

          ว่ากันว่าผู้ชายจะมีเซนส์เรื่องเส้นทางดีกว่าผู้หญิง ใช้โอกาสนี้แหละในการถามทางเขา ลองถามถึงสถานที่ที่ไม่ไกลจากจุดที่คุณอยู่นัก คุณอาจถามถึงร้านค้า หรือสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด เขาไม่เพียงบอกทางกับคุณ เผลอ ๆ อาจจะไปส่ง หรือเดินไปเป็นเพื่อนคุณด้วยก็ได้นะ ถ้าอย่างนั้นใช้เวลาระหว่างทางนี่แหละชวนคุยไปด้วย เมื่อถึงที่หมาย คุณอาจเขาอาจปิดท้ายด้วยการชวนเขาไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ หรืออาจจะแลกเบอร์โทรศัพท์กันก็ได้นะ

10. อะไรน่าทานบ้างคะ

          กรณีนี้หากคุณเจอพ่อหนุ่มที่คุณหมายตาที่ร้านอาหาร นั่งอยู่ข้าง ๆ คุณ ส่งสายตาให้ แล้วยิ้มเป็นการทักทายเสียหน่อย คุณอาจเอ่ยชมว่าอาหารของเขาดูน่าทานจัง และให้เขาช่วยแนะนำรายการอาหารให้คุณ ถ้าคุณน่ารักตรงสเป็คเขาอยู่แล้วละก็ เขายินดีแนะนำคุณแน่นอน เผลอ ๆ เขาอาจจะชวนคุณลองชิมเมนูของเขาด้วยก็ได้นะ

11.ชอบอ่านหนังสือประเภทไหนคะ

          หากว่าเจอกันตอนเขากำลังอ่านหนังสืออยู่ ลองสังเกตดู หากเขาไม่ได้กำลังใช้สมาธิมากจนเกินไป อาจลองชวนคุณถึงหนังสือที่เขากำลังอ่าน หากเป็นนักเขียนที่คุณรู้จัก ลองคุณถึงผลงานเล่มอื่น ๆ ดูก็ไม่เลว หรือถ้าคุยเรื่องนิตยสารเล่มโปรดของเขาก็อาจง่ายขึ้น เพราะคุณคงพอจะเดาออก ว่าเขาสนใจเรื่องราวประเภทไหน จับจุดได้เมื่อไหร่คุยกันได้สนุกเลยละ

12. คุยเรื่องกีฬา

          ผู้ชายส่วนใหญ่น่ะชอบกีฬาทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะชอบเล่น หรือชอบดูก็ตาม ลองชวนคุยถึงกีฬาที่เขาโปรดปราน ทีมที่เขาเชียร์ นักกีฬาคนโปรดของเขา ถึงแม้คุณอาจไม่เคยสนใจในกีฬานั้นมาก่อน แต่อย่าลืมที่จะตั้งใจฟังคำตอบของเขา และอมยิ้มเล็ก ๆ ไปด้วย ให้เขารู้ว่าคุณตั้งใจฟังอยู่นะ ถ้าเขาเป็นคอกีฬาตัวจริง รับรองเขาต้องคุยจนน้ำลายแตกฟองแน่

13. สักแก้วไหมคะ

          หากคุณเป็นคนช่างเที่ยว แล้วไปเจอหนุ่มเป้าหมายที่ร้านเดียวกันกับคุณละก็ วิธีสุดคลาสสิคคือ สั่งเครื่องดื่มให้เขาสักแก้ว แบบนี้หากเขาไม่รู้ว่าคุณสนใจเขาอยู่ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว สิ่งที่เขาทำ แน่นอนว่ารับเครื่องดื่มของคุณ แล้วแนะนำตัวเขาเอง จากนั้นคุณสามารถชวนคุยได้ โดยอาจลองเปิดด้วยการชมว่าเขาช่างแต่งตัวเท่ซะไม่มี แต่อย่าลืมว่าต้องชมอย่างจริงใจ และไม่เสแสร้งนะ

14. คุยเรื่องแกดเก็ต (Gadget) เก๋ ๆ ของเขา

          รองจากเรื่องกีฬา ผู้ชายก็มักจะสนใจเรื่องเทคโนโลยี ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแกดเก็ตเก๋ ๆ มาให้ใช้สอยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น mp3, โทรศัพท์สมาร์ทโฟนหลากยี่ห้อ หรืออุปกรณ์เสริมเก๋ ๆ อาจลองชวนคุยถึงคุณสมบัติพิเศษของเจ้าอุปกรณ์ตัวน้อยในมือเขา หรือถามถึงเพลงในเพลย์ลิสต์เขาดู หากเขากำลังใช้เครื่องเล่น mp3 อยู่ ผู้ชายหากได้พูดเรื่องที่เขาชอบเมื่อไหร่ รับรองว่าจ้อไม่หยุดแน่นอน

          เห็นหรือยังจ๊ะว่าวิธีที่จะตีสนิทหนุ่ม ๆ มีมากมายจะตายไป ผู้ชายร้อยทั้งร้อยชอบผู้หญิงน่ารัก ที่สนใจเรื่องราวใกล้เคียงกับเขาอยู่แล้ว คุณเพียงรวบรวมความกล้าสักนิด เข้าประชิดเขาก่อน อย่าลืมยิ้มแย้มและพูดคุยอย่างจริงใจ ตบท้ายด้วยการแนะนำตัวคุณเอง ดูซิทีนี้จะให้ไม่อยากรู้จักอย่างไรไหว!



ชายหนวดงาม ประกวด หนวดสวย

รูปภาพ ชายหนวดงาม ประกวด หนวดสวย

คนไทยเล่นเน็ตเพิ่มกว่า 20 ล้านคน เว็บบันเทิงฮิตสุด






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          เผยผลสำรวจคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านคน นิยมเล่นเว็บไซต์บันเทิงมากที่สุด ขณะที่ google ยังรั้งเสิร์ชเอ็นจิ้นอันดับ 1 ของคนไทย

          วานนี้ (20 พฤษภาคม) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สวทช. ร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย จำกัด ได้เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยในปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา โดยพบว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 20 ล้านคน และในจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด แบ่งเป็นเพศชาย 57.39% และเพศหญิง ร้อยละ 42.61% ขณะที่กว่า 32.1% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นนักเรียน นักศึกษา

          ทั้งนี้ หากแบ่งกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตามพื้นที่แล้ว จะพบว่า กว่า 36% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามมาด้วยภาคกลาง 18% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17% ภาคใต้ 11% สุดท้ายที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออก มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเท่ากันที่ 9%

          สำหรับเว็บไซต์ที่มีผู้นิยมเข้าชมมากที่สุดเมื่อแบ่งตามหมวดนั้น อันดับ 1 38.41% เป็นเว็บไซต์ในหมวดบันเทิง ตามมาด้วย 12.64% เกมส์ออนไลน์ 10.35% เป็นเว็บบล็อก ไดอารี่ออนไลน์ เว็บบอร์ด 6.37% เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการช้อปปิ้ง และ 6.14% เป็นเว็บไซต์ข่าวสารต่าง ๆ ส่วนเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมต่ำที่สุด กลับเป็นเว็บไซต์ด้านสุขภาพที่ได้รับความนิยมเพียง 0.26% เท่านั้น

          ในส่วนของเว็บไซต์เสิร์ชเอ็นจิ้นที่คนนิยมใช้ค้นหาข้อมูลมากที่สุด อันดับ 1 ยังเป็นเว็บไซต์ google ซึ่งมีผู้ใช้งานมากถึง 99% ขณะที่คำค้นหาที่คนไทยนิยมเสิร์ชมากที่สุด ปรากฏว่า ในหมวดชื่อบุคคล ชื่อที่ถูกค้นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 คือ เสธแดง ตามมาด้วย แอนนี่บรู๊ค แพรวา และทักษิณ ส่วนในหมวดเพลง เพลงที่ถูกค้นหามากที่สุด คือ เพลงเหงาปาก ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวที่ค้นนิยมหาข้อมูลมากที่สุด อันดับที่ 1 คือ เกาะล้าน ตามมาด้วย เกาะช้าง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
  

ซึ้ง! คุณแม่ลูก 8 เป็นมะเร็ง สอนสามีเลี้ยงลูกก่อนตาย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล              

            เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดเศร้าของ แองเจล่า มิลธอร์ป คุณแม่ลูก 8 ผู้พบว่าตนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  และมีความตั้งใจที่จะสอนสามีให้เลี้ยงลูกให้ได้ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต 

            โดย แองเจล่า มิลธอร์ป เป็นคุณแม่ลูก 8 วัย 47 ปี ที่โชคชะตาเล่นตลกทำให้เธอต้องป่วยเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุ 29 ปี และเป็นมะเร็งปอดซ้ำ ก่อนที่จะเสียชีวิตไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เรื่องราวสุดประทับใจของเธอกลับถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง โดยสามีของเธอเอง ที่เปิดเผยว่า แองเจล่าได้ทุ่มเทเวลา 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต ในการถ่ายทอดความเป็นแม่ให้แก่สามี เพื่อให้แน่ใจว่าสามีจะสามารถดูแลลูกได้ เมื่อเธอจากไปนั่นเอง

            สำหรับเรื่องราวสุดประทับใจนี้ เอียน มิลธอร์ป สามีวัย 49 ปีของแองเจล่า ได้เปิดเผยว่า "บางคนอาจจะกลัวเมื่อต้องเลี้ยงลูกถึง 8 คน แต่ภรรยาของผมก็ทำให้ผมมั่นใจว่าผมทำได้ ซึ่งถ้าไม่มีการเตรียมพร้อม 6 เดือนนี้ ผมก็ไม่สามารถทำมันได้แน่ ๆ แต่ตอนนี้ผมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าผมสามารถทำได้จริง ๆ จริงอยู่ที่ว่าผมเสียใจที่แองจี้กำลังจะจากไป แต่ผมก็ต้องแน่ใจว่าผมจะสามารถเลี้ยงลูก ๆ ให้เป็นคนมีศักยภาพได้ตามที่แองจี้ต้องการได้ และเธอก็ได้ทำดีที่สุด เพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ"

            สำหรับโรคร้ายที่แองเจล่าเผชิญอยู่นี้  เอียน มิลธอร์ป ได้เปิดเผยว่า ภรรยาของเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะ เร็งทรวงอกเมื่อปี พ.ศ. 2546 ขณะมีอายุได้ 29 ปี ซึ่งตอนนั้นเขาและเธอแต่งงานกัน และมีลูกชายด้วยกันแล้วถึง 3 คน แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง แองเจล่ารู้สึกได้ว่ามีก้อนเนื้อที่หน้าอกขอเธอ แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเนื้อร้ายเพราะเธอคิดว่าเธออายุยังไม่มาก ตอนนั้น ลูกชายของเธออายุได้ 8 , 7 และ 4 ขวบเท่านั้น พวกเขายังอายุน้อย แองเจล่าเลยไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก และไม่เคยคิดว่าเธอจะต้องมาต่อสู้กับโรคร้ายนี้เลย

            หลังตรวจพบ เธอก็เข้ารับการผ่าตัดเต้านม และทำการเคมีบำบัดมาตลอด 5 ปีหลังจากนั้น แต่ทั้งคู่ไม่คิดที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้ลูก ๆ ได้รับรู้ และยังมีแผนการที่จะมีลูกคนต่อไป โดยเอียนได้เปิดเผยว่า "แองจี้รู้สึกสิ้นหวังที่จะมีลูกคนต่อไปอีก แต่หมอก็ได้ให้คำแนะนำว่าเธอสามารถตั้งครรภ์หลังเข้ารับการบำบัดได้ ดังนั้น เธอจึงมาถามผมว่าถ้าพวกเราจะมีลูกหลังการรักษาเสร็จสิ้นลงคุณจะเห็นด้วยไหม ผมตอบเธอโดยทันทีว่า แน่นอน เพราะผมรู้ว่าเธอรักการเป็นแม่คนเหนือสิ่งอื่นใด โดยวิถีชีวิตของเธอนั้น จะใช้เวลาอยู่กับลูกตลอดไม่ว่าจะ พาลูกไปโรงเรียน หรือ พาไปดูฟุตบอล และทำกิจกรรมร่วมกันอีกมากมาย ดังนั้นหลังจากการบำบัดเสร็จสิ้น ผมจึงมีลูกชายคนที่ 4 กับเธอทันที และตอนนั้น แองจี้รู้สึกตื่นเต้นที่จะเป็นแม่คนอีกครั้ง แม้ว่าเธอได้ผ่าตัดเต้านมออกไปแล้ว เธอก็ยังคงจะให้นมลูกอยู่ดี เพราะเธอมีความสุขที่ได้นั่งให้นมลูก กล่อมลูกจนผล็อยหลับไป" เอียนกล่าว 

            และไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความที่แองเจล่านั้นรักในการเป็นแม่ และรู้สึกว่ามันเป็นความปลาบปลื้มใจที่เธอจะได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ เธอจึงให้กำเนิดคู่ฝาแฝด เจคและเจด อีก 2 ปีต่อมา ตามมาด้วยลูกชายคอรี่ ลูกสาวเอลล่า และโรส ตามลำดับ และในที่สุด ครอบครัวของแองเจล่าก็มีเด็ก ๆ ถึง 8 คน

            ดูเหมือนว่าชีวิตครอบครัวของแองเจล่ากำลังดำเนินมาถึงจุดที่มีความสุขที่สุดแล้ว แต่แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 โชคชะตากลับเล่นตลกกับคุณแม่ที่แสนดีของลูก ๆ ทั้ง 8 คนนี้อย่างน่าเศร้า เมื่อจู่ ๆ แองเจล่าก็ไอโดยไม่มีเสมหะ  เธอจึงไปพบแพทย์และได้ทราบข่าวร้ายว่า มะเร็งร้ายได้กลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้เกิดขึ้นที่ปอดและไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป 

            แต่ถึงแม้จะรู้ดีว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอกำลังจะมาถึงและเธอเองก็อ่อนเพลียมากจากการรักษาด้วยคีโมบำบัด แต่เธอก็ไม่เคยท้อและไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอคิดถึงแต่สามีและลูก ๆ ที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะการมีครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ทำให้เธอเป็นกังวลมาก เธอจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะสอนให้สามีได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงลูก โดยเอียน ได้เปิดเผยว่า "เธอค่อย ๆ สอนผมว่าควรทำอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งนั่งดูและให้คำ แนะนำโดยตลอด ซึ่งในตอนแรกมันอาจจะยาก แต่เมื่อผมได้ทำบ่อย ๆ  มันก็ง่ายขึ้น โดยเธอสอนผมว่าจะสระผม อาบน้ำให้เด็กน้อยได้อย่างไร และจะทำอย่างไรไม่ให้สบู่เข้าตา เป็นต้น และนอกจากนี้เธอยังสอนให้ผมรู้จักทำงานบ้านต่าง ๆ ทำอาหารมื้อโปรดให้ลูก ๆ ทาน สอนทำการบ้านให้ลูก ๆ อีกด้วย"

            หลังจากสอนทักษะทุกอย่างให้กับเอียนจนแน่ใจว่าเขาจะสามารถเลี้ยงดูลูก ๆ ได้แล้ว แองเจล่าก็ได้จากไปอย่างสงบเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2553 ขณะที่ลูก ๆ ของเธอประกอบไปด้วย ไรอัน เดมอน รีเช่ คอนเนอร์ คู่แฝด เจคและเจด คอรี่และเอลล่า โรส โดยทั้งหมดมีอายุ 25, 23, 20, 11, 9, 4 และ 3 ปีตามลำดับ ขณะที่เอียน สุดยอดคุณพ่ออันเป็นที่รักของลูก ๆ ในวันนี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "เราไม่อยากจะเชื่อว่าแองจี้ได้จากไปแล้ว เธอเป็นแสงสว่างให้ครอบครัวของเรา ต้องขอบคุณการสอนทุกอย่างของเธอ ที่ทำให้ผมสามารถดูแลครอบครัวได้ด้วยตนเองหลังจากนี้ได้ ณ วันนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถแทนที่ภรรยาได้ทั้งหมด แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างที่ผมทำได้ เพื่อทำให้เธอได้ภูมิใจในครอบครัวของเรา ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีภรรยาที่สอนความเป็นแม่ให้กับผม มันทำให้การเลี้ยงดูลูกเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นมากเลยจริง ๆ"






ทำนายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1 เมตร ใน 100 ปี

ทะเล



ทำนายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น1เมตรใน100ปี (ไทยโพสต์)

          ผลวิจัยฟันธง อีกร้อยปีน้ำทะเลจะสูงขึ้น 1 เมตรโดยเฉลี่ย ส่งผลให้น้ำท่วมเมืองตามชายหาด และภัยธรรมชาติที่ 100 ปีมีสักหนจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

          คณะกรรมาธิการด้านสภาพอากาศ ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ออกรายงานอย่างเป็นทางการระบุหลักฐานชี้ว่า ผิวโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และชี้อีกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

          ศาสตราจารย์วิน สเตฟเฟน จากคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า "ผมคาดว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นในปี 2643 ราว 0.5 ถึง 1 เมตรจากระดับความสูงในปี 2533"

          เขากล่าวว่า แม้ตัวเลขระดับน้ำทะเลจะสูงกว่าที่คณะกรรมการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนานาชาติ เคยทำนายเอาไว้ที่ระดับต่ำกว่า 0.8 เมตร แต่ไม่ถือว่าขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพราะคณะกรรมการนานาชาติเคยระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะปรับสูงขึ้นได้อีก

          รายงานระบุว่า หากน้ำทะเลสูงขึ้นแค่ 0.5 เมตร ก็จะสร้างผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล เช่น เมืองชายหาดต่าง ๆ อาจถูกน้ำทะเลท่วม และภัยธรรมชาติที่นับว่า 100 ปีจะเกิดสักหนอาจเกิดขึ้นได้รายปี
          รายงานเตือนอีกว่า ไฟป่า น้ำท่วม และพายุไซโคลนในออสเตรเลีย อาจเพิ่มความรุนแรงขึ้นเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งวันที่ร้อนที่สุดของออสเตรเลียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ฉี่ใส่ทำไมเนี่ยย!??
ช่วยแม่ชี
ยกของหน่อย.
...หนักจริง!!
 
หลุดแบบนี้.
.เสียวนะ!!